สำหรับผู้ที่รักษาสิวด้วยการไปพบแพทย์ หากเป็นสิวอักเสบหนักมากทางคลินิคมักจะให้ยาแก้อักเสบ “อะม็อกซิซิลลิน” ซึ่งถ้ากินบ่อยๆติดต่อกันเป็นเวลานานเกินสัปดาห์ อาจส่งผลข้างเคียงเสี่ยงเชื้อดื้อยาได้ ซึ่งหากมีการเจ็บป่วยและต้องทานยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้ อาจจะต้องใช้ยาที่แรงขึ้นจึงจะได้ผล
ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานข่าวจากประเทศอังกฤษว่า โรงพยาบาลเซ็นทรัลแมนเชสเตอร์ พบเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งจนทำให้มีคนเสียชีวิตไปแล้วราว 16 คน ซึ่งกรณีดังกล่าวมาจากการใช้ยาเกินความจำเป็นโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ขนาดประเทศที่พัฒนาแล้วยังพบปัญหาดังกล่าว ประเทศไทยแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะมีปัญหานี้มานานและยังไม่มีหน่วยงานควบคุมดูแลที่ชัดเจน ไม่มีการติดตามตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ และไม่มีการติดตามว่าผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการดื้อยามีมากน้อยแค่ไหน เพราะส่วนใหญ่จะระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าติดเชื้อจากปอดบวม ฯลฯ เป็นหลัก ทั้งที่ควรมีหน่วยงานของรัฐมาดูแลเรื่องนี้ เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน แต่ไม่มีคนสนใจ
“ทุกวันนี้เรากินยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบจนเกินความจำเป็น ยิ่งตามคลินิกเสริมความงามที่รักษาสิวมักจะให้ยาปฏิชีวนะ เรียกว่า ยาอะม็อกซิซิลลิน (Amoxicillin) ซึ่งไม่แน่ชัดว่ายาชนิดนี้จะแก้ปัญหาสิวอย่างไร หรือสามารถแก้สิวอักเสบได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว หากจะทำให้ทุเลาก็น่าจะเป็นสิวอักเสบที่เป็นหนอง แต่ที่แน่ๆ หากมีการจ่ายยาชนิดนี้และให้รับประทานเกิน 1 สัปดาห์ ติดต่อกันบ่อยๆ ย่อมมีโอกาสเกิดอาการดื้อยาในที่สุด ซึ่งเมื่อเกิดเจ็บป่วยและต้องใช้ยากลุ่มนี้ก็ต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงขึ้น หากไม่มีก็จะไม่มียารักษา” ผู้จัดการ กพย. กล่าว
ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทยาไม่นิยมผลิตยากลุ่มปฏิชีวนะแล้ว เนื่องจากไม่คุ้มทุน เพราะยากลุ่มนี้มักใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ราคาจะสูงมากไม่ได้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะผลิตหรือวิจัยยาใหม่ๆ อีก ทางเดียวที่จะทำให้มียาใช้ต่อไปคือ ต้องควบคุมการใช้ยาจุดนี้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาดื้อยาปฏิชีวนะ เกิดขึ้นทั่วโลก โดยแต่ละประเทศให้ความสำคัญกันหมด ล่าสุดระหว่าง เม.ย. – พ.ค.นี้ นักวิชาการด้านเชื้อดื้อยาจากนานาประเทศจะมีการประชุมหารือปัญหาเชื้อดื้อยาระดับโลก ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตนได้รับเชิญไปหารือด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ทราบถึงสถานการณ์เรื่องนี้ และแนวทางในการควบคุม เพื่อเสนอต่อภาครัฐของตนต่อไป
ปัญหาสิวเป็นเรื่องที่หลายคนเคยพบเจออยู่ที่ว่าจะเป็นมากน้อยแค่ไหน บางคนมักซื้อยาตามร้านขายยามาทานเอง และมักเข้าใจผิดคิดว่าการกินยาในกลุ่มไอโซเตรติโนอินที่มีกรดวิตามินเอขนาดสูงทำให้หน้าใส จึงมีการใช้ยาพร่ำเพรื่อ โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกาย เช่น การทำงานของตับผิดปกติ ไขมันและระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูง อาการปวดศีรษะอาจรุนแรงจากความดันในสมองสูง ปวดกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ สำไส้ใหญ่อักเสบจากการขาดเลือด ทำให้ปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ผมร่วงบาง เล็บเปราะ เล็บอักเสบ ส่วนทางด้านจิตใจอาจทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า
นอกจากนี้ในกรณีใช้ยานี้ระหว่างที่ตั้งครรภ์จะมีผลทำให้ทารกพิการได้ ดังนั้น การใช้ยานี้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าไม่ได้ตั้งครรภ์และควรได้รับการตรวจเลือดดูจำนวนเม็ดเลือด เกร็ดเลือด การทำงานของไต การทำงานของตับ ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดและควรตรวจเช็คระหว่างที่รับประทานยานี้ โดยอาจตรวจบ่อยในช่วงแรกของการได้ยา หรือแล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์
ข้อมูลจาก : สสส.