ช่วงนี้ข่าวทานยาเร่งผิวขาวแล้วเสียชีวิตมีมาให้เห็นกันบ่อยๆ แม้จะมีการมาเตือนกันไปไม่รู้ต่อกี่รอบ ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ขาวได้เฉียบพลัน ผลที่ตามมาย่อมอันตรายเสมอ แต่ผู้คลั่งไคล้ความขาวก็ไม่เคยยอมฟัง ยังคงฉีดและทานและทาอย่างต่อเนื่อง โดยหารู้มั้ยว่าการที่ขาวเร็วขึ้น ย่อมส่งผลข้างเคียงตามมาเช่นกัน
สารเร่งผิวขาวแบบฉีดที่โฆษณาขายโจ๋งครึ่มคงหนีไม่พ้น กลูต้าไธโอน ทั้งกิน ทั้งทา ทั้งฉีด กันเป็นว่าเล่น โดยไม่เกรงกลัวอันตรายที่เกิดจากผลข้างเคียงอาจจะเกิดขึ้นตามมา “ในส่วนของกลูต้าไธโอนนั้นมีทั้งแบบกิน แบบฉีดเข้าไป พวกนี้หากเป็นชนิดฉีดจะไปเปลี่ยนโครงสร้างของเม็ดสีให้เป็นอีกชนิดหนึ่งเหมือนของชาวต่างชาติ ใสขึ้น เป็นสีชมพู แต่ผลตรงนี้จะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้นก็จะกลับมาเป็นปกติ ในทางกลับกันจะก่อให้เกิดอันตรายมาก บางคนเสียชีวิต หากเป็นยากินยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ มีผลการศึกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บอกว่าช่วยทำให้สีผิวอ่อนลง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวให้ขาว ดังนั้นในกลุ่มยารับประทานสำหรับรักษาโรคเลือด กลุ่มพวกนี้หากรับประทานในระยะยาวจะมีผลต่อตับ เส้นเลือดไม่แข็งตัว ทำให้เลือดออกตามผิวหนังได้ และให้ผลเพียงชั่วคราวเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการทำให้ผิวขาวนั้นอันตราย สารที่ทำให้สีผิวเปลี่ยนไปจะอันตรายมาก และไม่ถาวร” รศ.นพ.นภดลกล่าว
การฉีด
บางคนอาจจะยังไม่เชื่อว่า แค่การฉีดกลูต้าฯ จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายขนาดนั้นเลยหรือ ข้อมูลจากภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การฉีดในความเข้มข้นสูง อาจทำให้ช็อกเป็นอันตรายชีวิตได้ (แน่นอนว่าอันตรายกว่าแบบทาน) “เนื่องจากตัวยากลูต้าฯ มีความไม่คงตัวในกระแสเลือด สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นผู้ที่หวังผลในการรักษา จะต้องให้แพทย์ฉีดบ่อยๆ หรือถี่ๆ เช่น ในกรณีของการฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อหวังผลให้ผิวขาว โดยมากแพทย์มักจะฉีดร่วมกับวิตามินซี หากฉีดในความเข้มข้นสูง และฉีดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง นอกจากจะเสียเงินมากแล้ว ที่สำคัญ การฉีดในความเข้มข้นสูง อาจทำให้ช็อก ความดันต่ำ เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง กล้ามเนื้อสั่น ประสาทหลอน หายใจติดขัด หลอดลมตีบ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และผู้ที่ได้รับยาฉีดนี้นานๆ เป็นประจำ อาจทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา จึงจัดสารกลูต้าไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางสายตา”
นอกจากนี้ที่น่ากลัวคือมีการนำมาฉีดเอง หรือจ้างหมอกระเป๋าฉีด มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เสี่ยงต่อการแพ้ จะเกิดอาการช็อก หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ หากต้องการฉีดกลูต้าไธโอนจริงๆ แนะนำให้อยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด
แบบทาน
เนื่องจากโมเลกุลของกลูตาไธโอนมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหาร นอกจากนี้โมเลกุลของกลูตาไธโอนยังถูกสลายตัวได้ง่ายในทางเดินอาหารอีกด้วย เราจึงไม่สามารถรับประทานกลูตาไธโอนโดยตรงเป็นอาหารเสริมได้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบยาเม็ด ยาแคปซูล หรือยาน้ำเชื่อม ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์โฆษณาว่า เป็นยาเม็ดกลูตาไธโอน ของแท้ ผู้บริโภคไม่ควรเสียเงินซื้อมากิน เพราะไม่ได้ผลทำให้ผิวขาว หรือไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อร่างกาย
ปัจจุบันที่พบทั่วไปในท้องตลาดเป็นยาเม็ดที่ อย.อนุญาตให้ขายเป็นอาหารเสริมนั้น ที่จริงเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กลูตาไธโอน (Glutathione Precursors) คือ อมิโนแอซิด เอ็นอะซิทิลซิสเตอีน (N-acetyl-cysteine) ซึ่งโมเลกุลชนิดนี้ จะสามารถถูกดูดซึมเข้าทางเดินอาหารได้ง่ายและรวดเร็ว และจะไปรวมตัวกับโปรตีนอีก 2 ชนิด คือ อมิโนแอซิด ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) ที่มีอยู่มากมายในกระแสเลือดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป การรวมตัวของอมิโนแอซิดทั้ง 3 ชนิด ก่อให้เกิดเป็นโมเลกุลกลูตาไธโอนในกระแสเลือด
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ประสงค์จะกินอาหารเสริมชนิดนี้เป็นประจำ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนในกระแสเลือด เพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอวัย และเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย หากรับประทานมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น มึนงง ปวดหัว ตาพล่ามัว และอาจมีสารตกค้าง ทำให้เป็นนิ่วที่ไต และกระเพาะปัสสวะอีกด้วย
ข้อมูลจาก : เภสัช mahidol